วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ค่ายคนสารคดีที่สวนผึ้ง

เมื่อต้นเดือนสิงหาที่ผ่านมา...ฉันได้มีโอกาสไปเข้าค่ายในวิชาภาพยนตร์สารคดี(FD315)
ณ มูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ในระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคม 2553
รวมเวลาเเล้ว 3วัน2คืน โดยกิจกรรมดังกล่าว มีจุดประสงค์เพื่อให้เราได้ค้นคว้าข้อมูลจากประสบการณ์การลงพื้นที่จริง รวมทั้งเรียนรู้การปรับตัวเข้ากับชุมชนและวิถีชีวิตผู้คนที่แตกต่างและหลากหลาย รวมทั้งยังได้มีโอกาสเยี่ยมหมู่บ้านของชาวกระเหรี่ยงที่อยู่บริเวณแถบนั้น พวกเราทั้งหมดพักกันที่มูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์




มูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์คือ มูลนิธิที่ร่วมมือกับคนในชุมชนดูแลอนุรักษ์ป่าไม้ สร้างกระบวนการเรียนรู้และปลูกจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อมเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ



และการมาครั้งนี้อาจารย์ก็ได้มอบหมายงานให้ทำด้วย 20คะแนน คือ การทำสารคดี ซึ่งกลุ่มของฉันมี3คน เราตกลงทำเรื่อง ภาษากระเหรี่ยง ซึ่งน้องๆที่เป็นพี่เลี้ยงของกลุ่มเราก็ได้พาไปพบกับ ป้าลดา ผู้เป็นชาวกระเหรี่ยง และเป็นครูที่สอนภาษากระเหรี่ยง



ป้าลดาเป็นหญิงชรา ที่คอยอนุรักษ์ภาษากระเหรี่ยงไม่ให้เลือนหายจากหมู่บ้านแห่งนี้ ป้าลดาได้จัดทำหนังสือที่มีคำแปล ระหว่างภาษาไทยและภาษากระเหรี่ยง รวมทั้งยังเคยเป็นครูสอนทหารตามชายแดนให้เข้าใจภาษากระเหรี่ยงอย่างง่ายๆ สอนเด็กๆให้เรียนรู้ภาษากระเหรี่ยงด้วย ป้าลดายังสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อีกด้วย



พวกเราคุยกับป้าอยู่นานประมาณเกือบ2ชั่วโมง ป้าลดายังสอนให้เราได้เขียนภาษากระเหรี่ยง และบอกเล่าประวัติอันยาวนานของภาษากระเหรี่ยงให้พวกเราได้ฟังด้วย



ป้าลดาได้เล่าให้เราฟังว่า ตอนนี้ป้าเลิกสอนภาษากระเหรี่ยงแล้ว เนื่องจากกระเหรี่ยงรุ่นใหม่ๆเริ่มจะไม่ค่อยสนใจ ป้าก็เริ่มหมดกำลังใจลง และส่วนมากในร.ร.ที่สอน ก็มีแต่ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ป้าได้พูดประโยคนึงมาว่า ถ้าไม่เหลือใครที่รู้ภาษากระเหรี่ยงแล้ว ต่อไปก็คงจะต่อไปดูที่พิพิทธภัณฑ์แล้วล่ะ





ป้าลดา






หนังสือภาษากระเหรี่ยง



ตอนกลางคืน อาจารย์ได้ให้พวกเรามาสรุปกิจกรรมร่วมกัน


พร้อมทั้งรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารเราทำทานกันเอง




ด้านบนคือภาพที่ฉันออกไปเเนะนำชื่อของฉันเป็นภาษากระเหรี่ยง คือ คุแฉะ = ปิ่น ซึ่งกิจกรรมนี้อาจารย์ให้ทำตั้งแต่เราเริ่มมาถึง โดยไปหาชื่อของตนเป็นภาษากระเหรี่ยง กระหร่าง พม่า มา1ชื่อและนำมาใช้เรียกระหว่างที่เราพักที่นั้น



นี่เป็นภาพที่พวกเราได้ขึ้นไปยิงเม็ดมะค่า บนเขากระโจม ซึ่งบนนั้นบรรยากาศดีมาก หายใจสดชื่น แทบไม่อยากกลับเลย






จากการเดินทางในครั้งนี้ ทำให้ฉันได้เกิดทัศนะคติใหม่ๆ และ ทำให้เกิดจิตสำนึกในการดูแลรักษาธรรมชาติเพิ่มขึ้นมาก แม้จะได้ไปอยู่ไม่กี่วัน ก็ทำให้ฉันรู้สึกผูกพันธ์ กับน้องๆ และสถานที่ จนไม่อยากกลับเลย หากใครได้ลองเเวะไป ฉันเชื่อว่าทุกคนต้องคิดเหมือนกับฉันอย่างแน่นอน





ที่อยู่ของมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์


หมู่3 บ้านผาปกค้างค้าว ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี


เว็บไซต์ http://www.rabbitinthemoon.org/

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ถ่ายหนังกับโครงการ Film Expo Asia2010

Film Expo Asia 2010 คือ กิจกรรมที่ประเทศไทย เปิดรับสมัครผู้สนใจสัญชาติเอเชียจากทั่วโลกแล้ว ตั้งแต่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2553 ประกาศผลผู้เข้ารอบสุดท้าย 99 ทีม ในเดือนพฤษภาคม 2553 และประกาศผลอีก30 ทีม ในช่วงเดือนสิงหาคม และ ตัดออกให้เหลือ 9 ทีม ที่จะได้รับรางวัล โดยชิงรางวัลเงินสดที่สูงสุด เป็นประวัติการณ์ 1 แสนเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 3.3 ล้านบาท) หัวข้อของการประกวด ในปี 2010 นี้ได้แก่ "ศรัทธาพระเจ้าอยู่หัวขับเคลื่อนชนชาวไทย"

ทีมซึ่งทีมของฉันก็ได้เข้ารอบ 99ทีม และเราได้เลือกสถานที่ถ่ายทำคือ ตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยการเดินทางครั้งนี้ทางโครงการได้มีเงินสนับสนุนประมานหมื่นหกกว่าๆ พร้อมมีรถตู้รับส่ง คนขับรถของเราชื่อ พี่คำหล้า พี่เขาใจดีมากๆ


ที่พักคือHomestay แถวๆอัมพวา คือ


พวกเราพักกันที่นี้อยู่2คืน


เป็นที่พักราคาประหยัดมาก !!!

















สนใจติดต่อได้ที่http://www.nrhomestay.com







ภาพติวบทนักแสดงเด็กซึ่ง เป็นลูกค้าจากทางร้านขนมที่พวกเราไปถ่ายนั่นเอง


เรือที่เต็มไปด้วยอาหารการกิน


และพวกฉันก็ยังมีโอกาสได้นั่งเรือชมตลาดน้ำ ชมวัดบางกุ้ง อีกด้วย ในราคาพิเศษ300บาท

อัตราค่าบริการ - นั่งเรือชมหิ่งห้อยวิ่งรอบเกาะ(ใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที) ระยะทางทั้งหมด 15 กิโลเมตร เรือหางยาวใหญ่ นั่งได้ไม่เกิน 12 คน เหมาลำลำละ 600 บาท เรือขุดโบราณ ติดเครื่องท้าย นั่งได้ไม่เกิน 10 คน เหมาลำลำละ 600 บาท รายบุคคลคนละ 60 บาท - นั่งเรือชมวิถีชีวิตสองฝั่งคลองอัมพวา เรือแจว ค่าบริการ ท่านละ 20 บาท เรือพาย ค่าบริการ ท่านละ 30 บาท
ติดต่อขอรับบริการได้ที่ ท่าเทียบเรือเทศบาล1 และท่าเทียบเรือเทศบาล 2 ริมคลองอัมพวา โทร. 05-185298305-1857044, 01-9423831


วัดบางกุ้ง เป็นวัดเก่าแก่ตั้งอยู่ในเขตตำบลบางกุ้ง อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ตามประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ปีพ.ศ. ๒๓๐๘ กองทัพพม่ายกเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์จึงทรงมีพระราชดำรัสสั่งให้หัวเมืองปากใต้ยกกองทัพเรือมาตั้งค่ายสร้างกำแพงล้อมวัดบางกุ้งที่ตำบลบางกุ้ง เมืองสมุทรสงคราม เรียกว่า “ค่ายบางกุ้ง”

ภายในวัด มีพระอุโบสถก่ออิฐถือปูนซึ่งถูกต้นไทรขึ้นปกคลุมทั้งหลังหน้าบันของพระอุโบสถ และยังมี "ศาลนางไม้เจ้าจอม" หรือศาลขององค์หญิงมณฑาทิพยื (จันทร์เจ้า) ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ มีคนให้ความเคารพนับถือกันมาก รวมทั้งยังมีรูปทหารเป็นจำนวนมาก และยังมีสัตว์ที่ทางวัดได้เลี้ยงไว้ให้เราได้ดูชมอีกด้วย

ข้อคิดจากการเดินทางครั้งนี้ทำให้ฉันได้พบกับประสบการณ์ในการทำหนังมากมาย รวมทั้งเรียนรู้การใช้ชีวิตต่างๆ การรู้จักปรับตัวเมื่อเราไปอยู่กับคนส่วนมาก รวมทั้งการรู้จักดูแลและรับผิดชอบตัวเอง




ปล. ผลการเข้ารอบ30ทีม ปรากฏว่าทีมของพวกเราไม่ผ่านการเข้ารอบ แต่ฉันไม่เสียใจหรอก เพราะถือซะว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งของชีวิต